ริปซาลิส กระบองเพชรไร้หนามจากป่าเขตร้อนอเมริกาใต้

ริปซาลิส
สารบัญบทความ
ริปซาลิส

จากกระแสความนิยมในการปลูกต้นกระบองเพชร ทำให้หลายคนเกิดความสนใจในพรรณไม้กลุ่มนี้ หลายคนอาจจะรู้จักแคคตัสอย่าง ยิมโนคาไลเซียม แมมมิลลาเรีย(แมม) แอสโตรไฟตัม แต่ทว่าสายพันธุ์ของต้นกระบองเพชรนั้นยังมีที่น่าสนใจอีกหลายสายพันธุ์ สำหรับบทความนี้ เราจะขอเสนอสายพันธุ์ ริปซาลิส (Rhipsalis)

ข้อมูลเกี่ยวกับริปซาลิส (Rhipsalis)

ริปซาลิสสายฝน
ริปซาลิสสายฝน-Rhipsalis Burchellii

ริปซาลิส (Rhipsalis) เป็นต้นไม้ในวงศ์กระบองเพชร (Cactaceae) ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับกระบองเพชรป่า (Epiphyllum) และสายพันธุ์สกัด (Schlumbergera) โดยทั่วไปแล้วจะเจอต้นไม้ริปซาลิสในภูมิภาคเขตร้อนและชื้นของอเมริกาใต้ อเมริกากลาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีข้อมูลทางพันธุศาสตร์ดังนี้

ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Rhipsalis (ชื่อวิทยาศาสตร์มาจากคำภาษากรีกโบราณแปลว่า “เครื่องจักสาน” ตามลักษณะของพืช)

วงศ์: Cactaceae (กระบองเพชร)

ชื่ออื่นๆ: Mistletoe cactus, Spaghetti cactus

ประเภทของต้นไม้ : เป็นไม้ล้มลุก , ไม้เลื้อย , เป็นหนึ่งในสายพันธุ์แคคตัส, ไม้ประดับ

สายพันธุ์ : ริปซาลิสมีมากกว่า 35 สายพันธุ์ ส่วนสายพันธุ์ที่รู้จักในประเทศไทย เช่น สปาเกตตี้ , ไข่มุก ,ทับทิม, รวงข้าว,สายฝน เป็นต้น

ลักษณะ : มีลำต้นเลื้อยหรือลำต้นสามารถย้อยโค้งงอได้ มีใบแคบและยาว หรือไม่มีใบเลย อาจมีดอกเล็กๆ หรือไม่มีดอก ตามแต่ละสายพันธุ์ โดยส่วนใหญ่จะมีการเติบโตในลักษณะทิ้งตัว (ห้อย)

การเจริญเติบโต : เจริญเติบโตได้ช้าและเป็นกลุ่ม เพราะมีการเจริญเติบโตแบบไม่มีรากลูก ต่างจากต้นไม้ทั่วไปอย่างเคราฤๅษี หรือไทร ที่มีรากอากาศ แต่สำหรับริปซาลิสที่ตัวต้นอาจจะไม่มีใบเลยและไม่มีรากอากาศ มีเพียงแค่กิ่งก็เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตของริปซาลิสในบางสายพันธุ์ เช่น ริปซาลิสสายฝน

ภูมิภาคที่พบ : พบได้หลากหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยเฉพาะภูมิภาคป่าฝนเขตร้อนชื้นของอเมริกาใต้ อเมริกากลาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนไปถึงอินเดีย ก็พบได้บางสายพันธุ์

ริปซาลิส

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของริปซาลิส

ริปซาลิสเป็นต้นกระบองเพชรชนิดหนึ่ง ที่ถูกนับว่าเป็นต้นไม้ประเภทอิงอาศัย (Epiphytic plant) โดยพืชอิงอาศัยจะมีคำนิยามว่าเป็นพืชที่เจริญอยู่บนพื้นผิวของพื้นที่อื่นๆ โดยไม่เจาะลงไปในดินเหมือนพืชปกติ ซึ่งพืชอิงอาศัยมักจะใช้ต้นไม้, เหล็ก, หิน, และวัสดุอื่นๆ เป็นฐานการเจริญเติบโต โดยพืชจะปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่อยู่บนพื้นผิวต้นไม้ แต่จะไม่มีการเจาะรากลงไปที่ต้นไม้ที่ริปซาลิสได้ขึ้นอยู่ ทำให้แตกต่างจากพืชประเภทกาฝาก

ราก

พืชชนิดนี้มีระบบรากตื้น มีไว้เพียงยึดเกาะเพื่อพยุงลำต้นเท่านั้น

ลำต้น

ลำต้นผิวเรียบสีเขียวอวบน้ำ การปรับตัวเหล่านี้ทำให้ริปซาลิสสามารถอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่มีความหนาวหรือแห้งแล้งได้ดี

ใบ

ลักษณะใบเล็ก ๆ หรืออาจจะไม่มีใบเลย เป็นผลพวงจากการวิวัฒนาการให้กิ่งและลำต้นสามารถสังเคราะห์แสงจนไม่จำเป็นต้องผลิตใบ

ดอกและผล

ดอกและผลจะออกตามปุ่มหรือข้อระหว่างลำต้น ดอกและผลมีสีขาวหรือออกชมพู ภายในดอกมีเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่ในต้นเดียวกัน ผลมีลักษณะทรงกลม

**ลักษณะต่างๆดังกล่าวจะมีรายละเอียดต่างกันเล็กน้อยในแต่ละสายพันธุ์

ริปซาลิส ดอก
rhipsalis pilocarpa

สายพันธุ์ที่นิยมในประเทศไทย

ในไทยริปซาลิสเป็นต้นไม้ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยสามารถหาซื้อได้ทั่วไป ไม้ว่าจะเป็นสายพันธุ์ ป๊อบอาย , สปาเก็ตตี้(Rhipsalis baccifera) , ริปซาลิสไข่มุก(Rhipsalis quellebambensis) ,ริปซาลิสสายฝน(Rhipsalis Burchellii) เป็นต้น

นี่เป็นแค่ตัวอย่างของสายพันธุ์ริปซาลิสที่นิยมในไทย จริงๆแล้วยังมีริปซาลิสอีกหลายสายพันธ์ที่มีความนิยมในทั่วโลก แต่ในไทยยังไม่ได้มีการทำข้อมูลและตั้งชื่ออย่างจริงจัง

ริปซาลิสป๊อบอาย
ริปซาลิสป๊อบอาย-Rhipsalis baccifera

การดูแลริปซาลิสให้สวยงาม

ริปซาริสยาวได้ถึง 20 ฟุต อัตราการเจริญเติบโตช้า แต่เลี้ยงได้ไม่ยากเลย การจะเลี้ยงให้สวยผู้ปลูกต้องคำนึงปัจจัยต่างๆดังนี้

แสง

ต้นไม้ชนิดนี้ควรได้รับแสงเต็มวันหรืออย่างน้อยสุดครึ่งวัน(แต่ไม่ควรรับแสงตอนเที่ยงโดยตรง) หากแสงที่ได้รับน้อยไปจะทำให้ต้นไม่สวย โตช้า สีใบซีด ออกดอกน้อย ผู้ปลูกต้องหมั่นปัดฝุ่นที่เกาะตามลำต้นอย่างระวังอยู่เป็นประจำเพื่อให้ผิวลำต้นถูกแดดและสังเคราะห์แสงได้เต็มที่ อัตราการให้แสงและน้ำต้องสำพันธ์กัน(แสงมาก-น้ำ,ความชื้นต้องมากตาม)

น้ำ

การให้น้ำไม่ได้มีตารางกำหนดตายตัวเพราะขึ้นกับวัสดุปลูกว่าอุ้มน้ำได้มากหรือนานแค่ไหน จึงต้องหมั่นสังเกตวัสดุปลูกเพื่อระวังไม่ให้แห้งอยู่เป็นประจำแต่ก็ไม่ควรแฉะหรือน้ำขัง เมื่อเลี้ยงไปสักพักเราจะสามารถคำนวนช่วงความถี่ในการรดน้ำได้เอง ซึ่งอาการที่บ่งบอกถึงการขาดน้ำนานเกินไปของริปซาลิสคือ กิ้งก้านเริ่มเหี่ยว โอนอ่อนขาดความแข็งแรง เริ่มแห้งเป็นสีน้ำตาล แต่ไม่ต้องตกใจไป! เพราะเมื่อคุณรดน้ำ ลำต้นจะฟื้นกลับมาสวยได้อีกครั้ง ต่างจากต้นไม้หลายๆชนิดที่ฟื้นตัวช้าหรืออาจตายไปหลังขาดน้ำ

อุณหภูมิ-ความชื้น

พืชชนิดนี้ไม่ชอบความเย็น อุณหภูมิที่เหมาะสมต้องร้อนกว่า 10℃ แต่ชอบความชื้นที่มากกว่ากระบองเพชรทั่วไป ที่ 40-50%

ปุ๋ย

ที่ทางเราแนะนำคือสูตร 20-20-20 หรือปุ๋ยคอก,ปุ๋ยสำหรับกระบองเพชรควรใส่เดือนละครั้ง แต่หากเป็นปุ๋ยชนิดละลายช้าควรใส่ตามฉลากที่ซองเขียนระบุ

วัสดุปลูก-ดิน

ด้วยระบบรากที่ตื้น ริปซาลิสไม่ต้องการดินมาก วัสดุปลูกต้องสามารถระบายน้ำและความชื้นได้ดีไม่แฉะมาก อาจใช้ทรายผสมดินร่วนหรือวัสดุอินทรีย์อย่าง พีทมอส โดยปกติจะใช้วัสดุปลูกเหมือนแคคตัสทั่วไป

กระถาง

เลือกกระถางแบบแขวนหากลำต้นมีรูปทรงยาวระย้าลงมา ควรเลือกกระถางแบบมีรูระบายน้ำเพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราจากน้ำขังในดิน หากต้องการควบคุมเรื่องขนาดและการเจริญเติบโตของต้นควรปลูกในกระถางขนาดเล็ก

โรคและศัตรูพืช

ดินปลูกที่แฉะจะทำให้โคนและรากเน่าไปถึงเกิดเชื้อรา และเพลี้ยแป้งเป็นศัตรูพืชหลักๆ หากเกิดเพลี้ยแป้งระบาดควรใช้ยาฆ่าแมลงจะเป็นผลดีที่สุด

ต้นริปซาลิส

การขยายพันธุ์

ริปซาลิสสามารถขยายพันธุ์ด้วยการตัดกิ่งปักชำลงดินและเพาะเมล็ด แต่การปักชำทำได้ง่ายและเร็วกว่ามาก ทำได้โดยเลือกตัดกิ่งที่สมบูรณ์แข็งแรงให้มีความยาวประมาณ 3-6 นิ้ว ปล่อยให้แผลที่โดนตัดแห้ง 2-3 วัน จากนั้นนำปักลงกระถางที่วัสดุปลูกชื้นแต่ไม่แฉะวางไว้ในที่ร่มแต่ไม่มืด รดน้ำให้ดินชื้นอยู่เสมอ และคลอบด้วยถุงคลุมกระถางเพื่อควบคุมความชื้น รอ 3-4 สัปดาห์ และค่อยๆนำออกมาเพื่อให้พืชปรับตัวกับสภาพแวดล้อมนอกถุง

ราคาของริปซาลิส

ริปซาลิสราคาอยู่แค่เพียงหลักสิบถึงหลักร้อยต้นๆ ทั้งนี้อยู่ที่ขนาดต้นและสายพันธุ์ แต่โดยทั่วไปราคาไม่แพงและเอื้อมถึงได้สำหรับคนทั่วไปอย่างแน่นอน

ความแตกต่างของริปซาลิสกับต้นไม้ในกลุ่มเฟิร์น

หลายคนมีความเข้าใจผิดว่า ริปซาลิส (Rhipsalis cactus) เป็นพืชในตระกูลเฟิร์น ด้วยลักษณะของต้น และการฟอร์มตัวของตัวต้น รวมไปถึงการที่ชอบอยู่ในพื้นที่ ที่มีแสงรำไร มีความชื้น แต่จริงๆริปซาลิสเป็นต้นกระบองเพชร ไม่ใช่เฟิร์น เราจะมาสรุปข้อแตกต่างในเรื่องนี้กันว่า ริปซาลิสกับเฟิร์น เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

ริปซาลิส การเลี้ยง
rhipsalis paradoxa

สิ่งที่เหมือนกันระหว่าง ริปซาลิสกับเฟิร์น

  1. ลักษณะการเจริญเติบโตของตัวต้น : ทั้ง 2 ประเภท มีการเติบโตเป็นตรงพุ่ม ห้อยระย้าเหมือนกันทำให้มีความเข้าใจผิดว่าเป็นพืชแบบเดียวกัน
  2. ภูมิอากาศที่เจริญเติบโต : ชอบที่แสงรำไรและมีความชื้นสูงเหมือนกัน

สิ่งที่ต่างกันระหว่าง ริปซาลิสกับเฟิร์น

  1. ก้านใบ : ริปซาลิสมีก้านใบน้อยหรือไม่มีเลย ส่วนต้นไม้วงศ์เฟิร์นมักจะมีก้านใบที่ชัดเจน
  2. ใบและดอก : ริปซาลิสเป็นแคคตัสไร้หนามที่บางสายพันธุ์ไม่มีใบ แต่มีดอก แต่สำหรับเฟิร์นจะมีใบเป็นหลัก และไม่มีดอก
  3. ราก : ริปซาลิส เป็นพืชอิงอาศัย จึงไม่มีการยึดรากแบบต้นไม้ทั่วไป ซึ่งต่างกับเฟิร์น ที่มีการยึดรากยึดกับดิน

แคคตัสริปซาลิสกับเฟิร์น หากดูลักษณะโดยทั่วไปแล้วอาจจะเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วก็มีความแตกต่างที่เห็นได้ชัด แต่อาจจะต้องอาศัยความรู้และความเข้าใจ การสังเกต ต้นริปซาลิสในประเทศไทยเองยังเป็นที่รู้จักไม่มากนัก ทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกระบองเพชรไม่มีหนามอย่าง “ริปซาลิส” ได้ง่าย

บทส่งท้าย

จะเห็นได้ว่าต้นริปซาลิส เป็นพืชในตระกูลแคคตัสไร้หนามที่เป็นพืชอวบน้ำเหมือนกับกระบองเพชรสายพันธุ์อื่นๆทั่วไป ทั้งในเรื่องการเป็นไม้อวบน้ำ การลดการมีใบเพื่อลดการคายน้ำ การปรับตัวที่ทำให้ทนต่อสภาวะแล้ง แม้จะเป็นต้นไม้ที่ชอบความชื้น ข้อที่แตกต่างหลักๆ คงเป็นเรื่องของการที่ไม่ชอบแดด ชอบที่ที่มีแสงรำไร เป็นอีกสายพันธุ์แคคตัสไร้หนามที่น่าสนใจ น่าเพาะพันธุ์เพื่อความสวยงามอีกสายพันธุ์หนึ่ง

บทความที่คุณอาจสนใจ

RECENT POSTS