Brocchinia Reducta สายพันธุ์สับปะรดสีกินแมลงด้วยกับดักบ่อน้ำย่อย

Brocchinia Reducta สับปะรดสีกินแมลง
สารบัญบทความ
Brocchinia Reducta สับปะรดสีกินแมลง

Brocchinia reducta ถูกตั้งชื่อและอธิบายไว้ครั้งแรกโดยการตีพิมพ์ของ John Gilbert Baker ในปี 1882 เป็นพืชสายพันธุ์สับปะรดสีกินแมลง(Carnivorous Bromeliad) และเป็นหนึ่งในพืชกลุ่มสับปะรดสีสายพันธุ์แปลกไม่กี่ชนิดที่ถูกจัดว่าเป็นพืชกินแมลง (มีเพียง 3 ชนิดที่ได้รับการยืนยันและยอมรับว่าเป็น Carnivorous Bromeliad ได้แก่ B. reducta, B. hechtioides และ C. berteroniana trap)

ถิ่นกำเนิดของสับปะรดสีกินแมลง Brocchinia reducta

สับปะรดสีหายาก

สับปะรดสี (B. reducta) ชนิดนี้ออกดอกสีขาว ขนาดต้นสูงประมาณ 30- 50 ซม. โดยมีถิ่นที่อยู่ในแถบนีโอทรอปิก(The Neotropics) หรือแถบอเมริกาใต้ พบมากในทางตอนใต้ของเวเนซูเอล่าและกายอานา ในพื้นที่ที่รับแสงได้ดี ไม่ค่อยพบใต้ร่มเงาหนาทึบของต้นไม้ใหญ่ชนิดอื่น ส่วนสำคัญคือมีกับดักที่คอยจับแมลงซึ่งมีลักษณะเป็นใบสีเหลืองสด รูปลักษณ์ของใบสูงยาวซ้อนกัน (rosette shaped) ขึ้นเป็นรูปทรงกระบอกทำให้เกิดเป็นแทงค์ลึก ๆ บรรจุน้ำย่อยเอาไว้ภายในตรงกลาง พืชชนิดนี้จะดูดซึมอาหารผ่านใบซึ่งสัมผัสกับของเหลวภายในโดยตรง

Brocchinia reducta นั้นส่วนมากจะพบบนพื้นดิน (terrestrial) มากกว่าขึ้นอยู่บนต้นไม้อื่น (epiphytic) สามารถเติบโตได้ในดินที่มีสารอาหารต่ำหรือแม้กระทั่งบนหินเรียบ ๆ เนื่องจากพืชชนิดนี้สามารถรับสารอาหารและน้ำอย่างเพียงพอผ่านแทงค์และการดูดซึมผ่านใบจากการย่อยสลายซากสัตว์เพียงอย่างเดียว

สับปะรดสีกินแมลง

Brocchinia reducta – พืชที่บริโภคสัตว์ผ่านแทงค์น้ำย่อย

ลักษณะอันโดดเด่นของ สับปะรดสีกินแมลงชนิดนี้ (Brocchinia reducta) คือจะมีแทงค์ที่บรรจุซากแมลงเล็ก ๆ ที่ดักได้เอาไว้ ส่วนมากจะเป็นแมลงจำพวกมดซึ่งซากสัตว์เหล่านี้ถูกใช้เป็นอาหารให้แก่พืช อย่างไรก็ตามแทงค์และของเหลวดังกล่าวยังเป็นที่อยู่อาศัยให้กับตัวอ่อนของยุงได้เช่นเดียวกับของเหลวในพืชกลุ่มหม้อข้าวหม้อแกงลิง ซึ่งตัวอ่อนของยุงจะทำหน้าที่ในการสร้างไนโตรเจนให้กับพืชและยังช่วยย่อยสลายซากแมลงที่ตายอยู่ในกับดักอีกด้วย

นอกจากตัวอ่อนยุงแล้ว Brocchinia Reducta เป็นที่อยู่อาศัยของมดบางชนิดซึ่งทำรังอยู่ระหว่างใบที่ซ้อนกันอยู่และมูลหรือซากของมดที่ตายแล้วก็กลายเป็นสารอาหารให้กับมันด้วยเช่นกัน แต่หลายครั้งก็พบว่ามีแมงมุมสร้างใยขึ้นมาบริเวณปากแทงค์เพื่อดักจับแมลงเล็ก ๆ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าแมงมุมถือเป็นปรสิตของพืชชนิดนี้ก็ว่าได้

โดยแมงมุมอาศัยความสามารถในการใช้กลิ่นดึงดูดแมลงของพืชเพื่อหาอาหาร แต่ในทางกลับกันก็ทำให้แมลงที่จะเป็นเหยื่อตกลงไปในแทงค์ลดน้อยลง แต่ท้ายที่สุดแล้วแมงมุมอาจกลายเป็นเหยื่อเพราะพลัดตกลงไปในแทงค์เสียเองหรือซากของมันอาจตกลงไปในแทงค์และเป็นอาหารให้กับ Brocchinia Reducta ได้

สับปะรดสีหายาก

กลไกของกับดัก

กับดักของ Brocchinia Reducta ประกอบขึ้นด้วยใบซ้อนกัน โดยใบของพืชตั้งชันและมีลักษณะพื้นผิวปกคลุมไปด้วยผงแป้งคล้ายแว๊กซ์เคลือบให้เกิดความเรียบลื่น ส่งผลให้สามารถดักจับเหยื่อได้ดี ผงแป้งที่เคลือบอยู่ที่มีลักษณะลื่นคล้ายกับทัลคัม (talcum) ทำให้แมลงที่ตกลงไปได้ง่ายแต่ไม่สามารถหลบหนีออกจากแทงค์ของพืชได้

โดยนักวิชาการมีความเห็นว่าผงแป้งดังกล่าวยังช่วยทำให้ใบมีลักษณะเงาและสะท้อนแสงแดด ทำให้แมลงเกิดความสับสนจนเข้าใจว่าบริเวณดังกล่าวคือท้องฟ้าโล่ง ๆ หรือเป็นดอกไม้รอบ ๆ ของต้นสับปะรดสี จากนั้นจึงบินเข้าไปชนกับต้นของมันและตกลงไปในกับดักที่มีน้ำย่อยบรรจุอยู่ เมื่อแมลงหล่นลงภายในแทงค์ของเหลวที่มีความเป็นกรดสูงก็จะทำหน้าที่ย่อยซากแมลง โดยกับดักนั้นอยู่บริเวณตรงกลางซึ่งใบล้อมรอบเอาไว้จนมีลักษณะเป็นแทงค์ทรงกระบอกที่บรรจุของเหลวเอาไว้ นอกจากนี้ของเหลวดังกล่าวยังมีกลิ่นหอมหวานกระจายไปทั่วเพื่อล่อแมลงที่เป็นเหยื่อเข้ามาอีกด้วย

แม้ว่าพืชชนิดนี้จะไม่สามารถผลิตเอนไซม์โปรตีเอส (protease) ซึ่งเป็นเอนไซม์ช่วยย่อยสลายเหยื่อที่มักพบในกลุ่มพืชกินแมลงอย่างหม้อข้าวหม้อแกงลิงและซาราซีเนีย แต่ Brocchinia Reducta นั้นอาศัยการย่อยสลายของแบคทีเรียและเชื้อราในการทำหน้าที่ดังกล่าวในแทงค์แทน และมีไทรโคม (trichomes) อยู่บริเวณใบซึ่งทำหน้าที่ในการดูดซึมสารอาหาร ดังนั้นเอนไซม์ดังกล่าวจึงไม่มีความจำเป็นมากพอที่จะต้องผลิตขึ้นมาให้เปลืองพลังงานของพืชโดยเปล่าประโยชน์

Brocchinia Reducta ประสิทธิภาพกับดักที่แปรผันตามช่วงอายุ

อย่างไรก็ตามพบว่า Brocchinia Reducta ที่มีขนาดเล็กจะมีกลิ่นที่โดดเด่นอย่างมาก เมื่อมีอายุมากขึ้นและมีขนาดใหญ่ขึ้นกลิ่นของมันต่างไปจากเดิมโดยกลิ่นที่โดดเด่นนั้นจะหายไป จึงทำให้ต้นที่อายุน้อยและขนาดเล็กกว่าจับแมลงได้เยอะกว่า เหยื่อมีความหลากหลายมากกว่า อีกทั้งพบว่าต้นขนาดใหญ่มีความเสี่ยงที่จะถูกปนเปื้อนและติดเชื้อแบคทีเรียมากกว่าจึงทำให้ของเหลวภายในมีออกซิเจนน้อยลง ส่งผลให้มีลูกน้ำของยุงอาศัยอยู่น้อยกว่าต้นที่มีขนาดเล็กอีกด้วย

ดังนั้้นนักวิจัยจึงสรุปว่าพืชขนาดเล็กได้รับสารอาหารมากกว่าเพราะมีความอุดมสมบูรณ์สูงกว่า ทั้งนี้ยังพบว่า Brocchinia Reducta ขนาดใหญ่จะจับเหยื่อจำพวกด้วงได้มากกว่าพืชที่มีขนาดเล็ก เพราะพืชที่มีขนาดใหญ่นั้นภายในแทงค์จะพบอินทรีย์วัตถุและซากต่าง ๆ ได้มากกว่าซึ่งทำให้ดึงดูดแมลงจำพวกด้วงได้ดีกว่านั่นเอง

สับปะรดสี

การเลี้ยง Brocchinia Reducta

แม้ Brocchinia Reducta จะขึ้นอยู่ในพื้นที่หุบเขาแต่ก็สามารถเพาะปลูกได้ เพียงแค่ต้องควบคุมสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิอย่างระมัดระวัง โดยพืชชนิดนี้ชอบแสงจ้าและอากาศที่อบอุ่น อุณหภูมิราว 15-29  ํC และต้องการความชื้น 35-80% จึงถือว่าเลี้ยงได้ยากในสภาพอากาศที่ร้อนของประเทศไทยเราซึ่งต้องใช้ตู้ไฟในการควบคุมตัวแปรต่างๆดังกล่าว

หากควบคุมตัวแปรต่างๆได้ใกล้เคียงกับสภาพอากาศที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติแล้วก็จะมีลักษณะสีเหลืองสดใส ใบตั้งตรงและแน่นสวย ในทางกลับกันหากแสงไม่เพียงพอก็จะทำให้ใบออกสีเขียวและม้วนตัวน้อย ควรปลูกในกระถางขนาดไม่ใหญ่เกินไปในดินที่ร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี น้ำที่ใช้รดควรเป็นน้ำบริสุทธิ์และเก็บในแทงค์อย่างมิดชิดป้องกันการเพิ่มขึ้นของเกลือในน้ำ

References

  • Gonzalez, J. M., Jaffe, K., & Michelangeli, F. (1991). Competition for Prey Between the Carnivorous Bromeliaceae Brocchinia reducta and Sarraceneacea Heliamphora nutans. Biotropica, 23(4), 602. doi:10.2307/2388398 www.jstor.org/stable/2388398?origin=crossref

บทความที่คุณอาจสนใจ

RECENT POSTS